วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คำสมาส


คำสมาส การสร้างคำสมาสในภาษาไทยได้แบบอย่างมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต โดยนำคำบาลี-สันสกฤต ตั้งแต่สองคำมาต่อกันหรือรวมกัน

ลักษณะของคำสมาสเป็นดังนี้
          ๑. เป็นคำที่มาจากภาษาบาลี-สันสกฤตเท่านั้น คำที่มาจากภาษาอื่นๆ นำมาประสมกันไม่นับเป็นคำสมาส ตัวอย่างคำสมาส
บาลี+บาลี เช่นอัคคีภัย วาตภัย โจรภัย อริยสัจ ขัตติยมานะ อัจฉริยบุคคล
สันสกฤต+สันสกฤต เช่น แพทยศาสตร์ วีรบุรุษ วีรสตรี สังคมวิทยา ศิลปกรรม
บาลี+สันสกฤต, สันสกฤต+บาลี เช่น หัตถศึกษา นาฎศิลป์ สัจธรรม สามัญศึกษา

          ๒. คำที่รวมกันแล้วไม่เปลี่ยนแปลงรูปคำแต่อย่างใด เช่น
วัฒน+ธรรม = วัฒนธรรม
สาร+คดี = สารคดี
พิพิธ+ภัณฑ์ = พิพิธภัณฑ์
กาฬ+ปักษ์ = กาฬปักษ์
ทิพย+เนตร = ทิพยเนตร
โลก+บาล = โลกบาล
เสรี+ภาพ = เสรีภาพ
สังฆ+นายก = สังฆนายก

          ๓. คำสมาสเมื่อออกเสียงต้องต่อเนื่องกัน เช่น
ภูมิศาสตร์ อ่านว่า พู-มิ-สาด
เกียรติประวัติ อ่านว่า เกียด-ติ-ประ-หวัด
เศรษฐการ อ่านว่า เสด-ถะ-กาน
รัฐมนตรี อ่านว่า รัด-ถะ-มน-ตรี
เกตุมาลา อ่านว่า เก-ตุ-มา-ลา

          ๔. คำที่นำมาสมาสกันแล้ว ความหมายหลักอยู่ที่คำหลัง ส่วนความรองจะอยู่ข้างหน้า เช่น
ยุทธ (รบ) + ภูมิ (แผ่นดิน สนาม) = ยุทธภูมิ (สนามรบ)
หัตถ (มือ) + กรรม (การงาน) = หัตถกรรม (งานฝีมือ)
คุรุ (ครู) + ศาสตร์ (วิชา) = คุรุศาสตร์ (วิชาครู)
สุนทร (งาม ไพเราะ) + พจน์ (คำกล่าว) = สุนทรพจน์ (คำกล่าวที่ไพเราะ)

หลักการสังเกต
          ๑. คำสมาสต้องเป็นคำบาลี สันสกฤตเท่านั้น
          ๒. คำสมาสมีลักษณะคล้ายการนำคำสองคำมาวางเรียงต่อกัน เวลาอ่านจะมีเสียงสระต่อเนื่องกัน
          ๓. ไม่มีการประวิสรรชนีย์ (ะ) หรือเครื่องหมายทัณฑฆาต ( ์ )
          ๔. การเรียงคำ คำหลักจะอยู่ข้างหลัง ดังนั้นการแปลจึงแปลความหมายจากหลังมาหน้า
          ๕. คำ "พระ" ประกอบหน้าคำบาลี สันสกฤต จัดเป็นคำสมาส
          ๖. คำที่ลงท้ายด้วยคำว่า ศาสตร์ กรรม ภาพ ภัย ศึกษา มักเป็นคำสมาส

คำซ้อน


  • คำมูลที่นำมาซ้อนกันอาจเป็นนาม กริยา หรือวิเศษณ์ก็ได้ คำมูลเหล่านี้ต้องประกอบกับคำชนิดเดียวกัน คือเป็นคำนามด้วยกัน หรือกริยาด้วยกัน และทำหน้าที่ได้ต่าง ๆ เช่นเดียวกับชนิดของคำมูลที่นำมาซ้อนกันเช่น
นามกับนาม เช่น เนื้อตัว เรือแพ ลูกหลาน เสื่อสาด หูตา
กริยากับกริยา เช่น ทดแทน ชมเชย เรียกร้อง ว่ากล่าว สั่งสอน
วิเศษณ์กับวิเศษณ์ เช่น เข้มงวด แข็งแกร่ง ฉับพลัน ซีดเซียว เด็ดขาด
  • คำมูลที่นำมาซ้อนกันอาจเป็นคำมาจากภาษาใดก็ได้ อาจเป็นคำไทยกับคำไทย คำไทยกับคำที่มาจากภาษาอื่น หรือเป็นคำที่มาจากภาษาอื่นทั้งหมด เช่น
คำไทยกับคำไทย เช่น ผักปลา เลียบเคียง อ่อนนุ่ม อ้อนวอน
คำไทยกับคำเขมร เช่น แบบฉบับ พงไพร หัวสมอง แจ่มจรัส
คำไทยกับคำบาลีสันสกฤต เช่น เขตแดน โชคลาง พรรคพวก ศรีสง่า หมู่คณะ
คำเขมรกับคำเขมร เช่น ขจัดขจาย เฉลิมฉลอง
คำบาลีสันสกฤตกับคำบาลีสันสกฤต เช่น สรงสนาน ตรัสประภาษ เสบียงอาหาร
  • คำมูลที่นำมาซ้อนกัน ส่วนมากเป็นคำมูล 2 คำ ถ้ามากกว่านั้นมักเป็นคำมูล 4 คำ หรือ 6 คำ
ตัวอย่าง
คำมูล 2 คำ เช่น ข้าวปลา นิ่มนวล ปากคอ ฟ้าฝน หน้าตา
คำมูล 4 คำ อาจมีสัมผัสกลางหรือซ้ำเสียง เช่น ได้หน้าลืมหลัง กู้หนี้ยืมสิน ยากดีมีจนมากหมอมากความ ไปวัดไปวา ต้อนรับขับสู้
คำมูล 6 คำ มักมีสัมผัสระหว่างกลาง เช่น คดในข้องดในกระดูก จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน
คำซ้อนมี 2 ประเภท คือ
  1. คำซ้อนเพื่อความหมาย เราเน้นความหมายเป็นหลัก เช่น ใหญ่โต เล็กน้อย กว้างขวาง
  2. คำซ้อนเพื่อเสียง เราเน้นเสียงเป็นเกณฑ์ มักจะมีเสียงไปด้วยกันได้ เช่น เซ้าซี้ จู้จี้ โยเย โดกเดก งุ่นง่าน ซมซาน ฯลฯ

คำซ้ำ


คำซ้ำ เป็นการซ้ำคำมูลเดิม ความหมายของคำซ้ำอาจเหมือนคำมูลเดิม หรืออาจมีน้ำหนักมากขึ้นหรือเบาลง หรือแสดงความเป็นพหูพจน์ เช่น เขียว ๆ แดง ๆ ไกล ๆ มาก ๆ น้อย ๆ ช้า ๆ เร็ว ๆ ดัง ๆ ถี่ ๆ ห่าง ๆ จริง ๆ เพื่อน ๆ หลาน ๆ ฯลฯ
          คำซ้ำในคำซ้อน เป็นการนำคำซ้อนมาแยกแล้วซ้ำคำมูลแต่ละคำ คำซ้ำในคำซ้อนอาจมีความหมายเท่าคำซ้อนเดิม หรือมีความหมายหนักขึ้น หรือเบาลง หรือแสดงความเป็นพหูพจน์ หรือมีความหมายเปลี่ยนไปจากเดิมมาก
          คำซ้ำ คือ การนำคำมูลมากล่าวซ้ำ 2 ครั้ง เมื่อเขียนนิยมใช้ไม้ยมกแทนคำหลัง

ตัวอย่างคำซ้ำในคำซ้อน
          ผัว ๆ เมีย ๆ (ความหมายเท่าผัวเมีย)
          สวย ๆ งาม ๆ (ความหมายเท่าสวยงาม)
          ดึก ๆ ดื่น ๆ (ความหมายหนักกว่าดึกดื่น)
          ด้อม ๆ มอง ๆ (ความหมายเบาลงกว่าด้อมมอง)
          ลูก ๆ หลาน ๆ (ความหมายแสดงจำนวนมากกว่าลูกหลาน)

รูปลักษณ์ของคำซ้ำ
          เขียนเหมือน
          อ่านเหมือน
          ความหมายเหมือน
          เป็นคำชนิดเดียวกัน
          ทำหน้าที่เดียวกัน
          อยู่ในประโยคเดียวกัน


ตัวอย่างประโยคที่มีรูปลักษณ์ของคำซ้ำ

          ฉันมีเพื่อน ๆ เป็นคนต่างจังหวัด
          ลูก ๆ ของพระยาพิชัยรับราชการทุกคน
          ฉันเห็นเธอพูด ๆ ๆ อยู่นั่นแหละ
          พวกเราเข้าไปนั่ง ๆ ฟังเสียหน่อย เกรงใจเจ้าภาพ
          ฉันไม่ได้ตั้งใจดูเขาหรอก แต่รู้สึกว่าเขามีผิวสีดำ ๆ
          วิเคราะห์

คำว่า เพื่อน ๆ เป็นคำซ้ำ เพราะเขียนเหมือนกัน อ่านเหมือนกัน ความหมายเหมือนกัน ซึ่งเป็นคำนาม ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยคและอยู่ในประโยคเดียวกัน จึงเรียกว่า คำซ้ำ
คำว่า ลูก ๆ เป็นคำซ้ำ เพราะเขียนเหมือนกัน อ่านเหมือนกัน ความหมายเหมือนกัน ซึ่งเป็นคำนามเหมือนกัน ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค และอยู่ในประโยคเดียวกัน จึงเรียกว่า คำซ้ำ
คำว่า พูด ๆ เป็นคำซ้ำ เพราะเขียนเหมือนกัน อ่านเหมือนกัน ความหมายเหมือนกัน ซึ่งเป็นคำกริยาเหมือนกัน ทำหน้าที่เป็นกริยาของประโยคย่อย และอยู่ในประโยคเดียวกัน จึงเรียกว่า คำซ้ำ
คำว่า นั่ง ๆ เป็นคำซ้ำ เพราะเขียนเหมือนกัน อ่านเหมือนกัน ความหมายเหมือนกัน ซึ่งเป็นคำกริยาเหมือนกัน ทำหน้าที่เป็นกริยาแท้ของประโยค และอยู่ในประโยคเดียวกัน จึงเรียกว่า คำซ้ำ
คำว่า ดำ ๆ เป็นคำซ้ำ เพราะเขียนเหมือนกัน อ่านเหมือนกัน ความหมายเหมือนกัน ซึ่งเป็นคำวิเศษณ์เหมือนกัน ทำหน้าที่เป็นวิเศษณ์ของประโยค และขยายคำนาม และอยู่ในประโยคเดียวกัน จึงเรียกว่า คำซ้ำ

วิธีการซ้ำคำ
นำคำนาม คำสรรพนาม คำกริยา หรือคำวิเศษณ์มากล่าวซ้ำ เช่น เด็ก ๆ เรา ๆ กิน ๆ
นำคำที่ซ้ำกัน 2 คำมาซ้อนกัน แต่คำคู่นั้นจะต้องมีความหมายใกล้เคียงกัน เช่น สวย ๆ งาม ๆ เรา ๆ ท่าน ๆ เป็น ๆ หาย ๆ
นำคำซ้ำกัน โดยเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ เพื่อเน้นความหมาย เช่น ซ้วยสวย ดี๊ดี เจ็บใจ๊เจ็บใจ ดีใจ๊ดีใจ

ความหมายของคำซ้ำ
การซ้ำคำทำให้เกิดความหมายแตกต่างกันไปในลักษณะต่าง ๆ กัน ดังนี้

          ซ้ำคำทำให้เป็นพหูพจน์ แสดงถึงจำนวนมากกว่าหนึ่ง เช่น
เด็ก ๆ ไปโรงเรียน (หมายถึงเด็กหลายคน)
ใคร ๆ ก็มาทั้งนั้น (หมายถึงคนหลายคน)

          ซ้ำคำเพื่อแสดงการแยกจำนวน เช่น
ทำให้เสร็จเป็นอย่าง ๆ ไป (หมายถึงทีละอย่าง)
ครูตรวจการบ้านนักเรียนเป็นคน ๆ (หมายถึงทีละคน)

          ซ้ำคำเพื่อแสดงความหมายเป็นกลาง ๆ เช่น
ผ้าดี ๆ อย่างนี้หาซื้อไม่ได้
ฉันไม่ซื้อปลาเป็น ๆ มาทำกับข้าว
แต่ถ้าต้องการเน้นน้ำหนักให้เปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ ในกรณีเป็นภาษาพูด เช่น
เสื้อตัวนี้ซ้วยสวย
ไปทำอะไรมาตัวด๊ำดำ

          ซ้ำคำเพื่อแสดงความหมายโดยประมาณหรือไม่เจาะจง เช่น
เธอมาหาฉันแต่เช้า ๆ หน่อย (ไม่เจาะจงเวลา)
เขาเดินอยู่แถว ๆ บางเขน (ไม่เจาะจงว่าสถานที่ใด)
เขาทำอะไรผิด ๆ อยู่เสมอ (ไม่เจาะจงว่าผิดอะไร)

          ซ้ำคำเพื่อให้เป็นคำสั่ง มักเน้นคำขยายหรือบุพบท เช่น
ทำดี ๆ นะ (ซ้ำคำขยาย)
เดินเร็ว ๆ (ซ้ำคำขยาย)
นั่งใน ๆ (ซ้ำคำบุพบท)

          ซ้ำคำเพื่อแสดงกิริยาว่าทำติดต่อกันไปเรื่อย ๆ และจะเน้นคำที่กริยา
เขาพูด ๆ อยู่ก็เป็นลม
เขายืน ๆ อยู่ก็ถูกจับ

          ซ้ำคำเพื่อแสดงลักษณะส่วนใหญ่ในกลุ่มหรือในหมู่คณะ เช่น
มีแต่ของเก่า ๆ กินแต่ของดี ๆ มีแต่คนเลว ๆ

          ซ้ำคำเพื่อแสดงอาการหรือเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน เช่น
ฝนตกปรอย ๆ
เด็กวิ่งตั๊ก ๆ
ปลาดิ้นพราด ๆ

          ซ้ำคำเลียนเสียงธรรมชาติ ได้แก่
เสียงสัตว์ร้อง เช่น เหมียว ๆ โฮ่ง ๆ กุ๊ก ๆ
เสียงเด็กร้องได้ เช่น อุแว้ ๆ แง ๆ
เสียงธรรมชาติ เช่น โครม ๆ ซู่ ๆ เปรี้ยง ๆ


          ซ้ำคำทำให้เกิดความหมายใหม่ เช่น
เดี๋ยว ๆ เขาก็มองออกไปทางประตู
อยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นกระโดด (ไม่มีสาเหตุ)
ของพื้น ๆ อย่างนี้ใครก็ทำได้ (ของธรรมดา)
เรื่องผี ๆ ไม่น่าฟัง (ไม่ดี)
ทำอะไรลวก ๆ (หยาบ)
ความมุ่งหมายในการสร้างคำซ้ำ

          ซ้ำเพื่อเน้นความหมายเดิมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น คำซ้ำประเภทนี้มักจะเป็นคำวิเศษณ์ เช่น ดัง ๆ วุ่น ๆ ค่อย ๆ

          ซ้ำเพื่อบอกความหมายของเวลาหรือสถานที่โดยประมาณ เช่น ใกล้ ๆ ข้าง ๆ ดึก ๆ เช้า ๆ

          ซ้ำเพื่อบอกความหมายเป็นเอกพจน์ ซึ่งคำซ้ำชนิดนี้มักสร้างจากคำลักษณะนาม เช่น เรื่อ ๆ ส่วน ๆ ชิ้น ๆ

          ซ้ำเพื่อบอกความหมายเป็นพหูพจน์ เช่น เพื่อน ๆ เด็ก ๆ

          ซ้ำเพื่อบอกความหมายกว้างออกไป เช่น นั่ง ๆ นอน ๆ

          ซ้ำเพื่อให้เกิดความหมายใหม่ เช่น หมู ๆ พื้น ๆ

คำประสม


คำประสม คือ คำที่เกิดจากการนำคำมูลตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป และมีความหมายต่างกันมาประสมกันเป็นคำใหม่คำมูลที่นำมาประสมกันอาจเป็นคำนาม สรรพนาม กริยา วิเศษณ์ และบุพบท
          นาม+นาม หัวใจ
          นาม+กริยา บ้านเช่า
          นาม+สรรพนาม เพื่อนฝูง
          นาม+วิเศษณ์ น้ำแข็ง
          นาม + บุพบท คนนอก
          วิเศษณ์+กริยา ดื้อดึง
          วิเศษณ์ +วิเศษณ์ หวานเย็น

หน้าที่ของคำประสม
๑. ทำหน้าที่เป็นนาม, สรรพนาม เช่น พ่อครัว พ่อบ้าน แม่พระ ลูกเสือ น้ำตก ช่างไม้ ชาวบ้าน เครื่องบิน
หัวใจ นักการเมือง หมอตำแย ของเหลว
๒. ทำหน้าที่เป็นกริยา เช่น เสียเปรียบ กินแรง กินนอกกินใน อ่อนใจ ดีใจ เล่นตัว วางตัว ออกหน้า หักหน้า
ลองดี ไปดี
๓. ทำหน้าที่เป็นวิเศษณ์ เช่น กินขาด ใจร้าย ใจเพชร ใจร้อน หลายใจ คอแข็ง
๔. ใช้ในเชิงเปรียบเทียบ เช่น - ก้มหน้า หมายถึง จำทน
แกะดำ หมายถึง คนที่ทำอะไรผิดจากผู้อื่นในกลุ่ม
ถ่านไฟเก่า หมายถึง หญิงชายที่เลิกร้าง
ไก่อ่อน หมายถึง ยังไม่ชำนาญ
นกต่อ หมายถึง คนที่ติดต่อหรือชักจูงผู้อื่นให้หลงเชื่อ

การสร้างคำประสม
๑. สร้างจากคำไทยทุกคำ เช่น แม่น้ำ ที่ราบ ลูกช้าง หมดตัว กินที่ แม่ยาย
๒. สร้างจากคำไทยกับคำภาษาต่างประเทศ เช่น เผด็จการ นายตรวจ ของโปรด
๓. สร้างจากคำภาษาต่างประเทศทั้งหมด เช่น รถเมล์ รถบัส รถเก๋ง กิจจะลักษณะ
๔. สร้างคำเลียนแบบคำสมาส แต่ปนกับคำไทย เช่น ผลไม้ คุณค่า พระอู่ เทพเจ้า พระที่นั่ง ทุนทรัพย์

ข้อสังเกตของคำประสม
๑. คำประสมอาจเกิดจากคำต่างชนิดรวมกัน เช่น กินใจ (คำกริยา+คำนาม) นอกเรื่อง (คำบุพบท+คำนาม)
๒. คำประสมเกิดจากคำหลายภาษารวมกัน เช่นรถเก๋ง (บาลี+จีน) เครื่องอิเล็กโทน (ไทย+อังกฤษ)
๓. คำที่ขึ้นต้นด้วย ผู้ นัก เครื่อง ช่าง หมอ ของ เป็นคำประสม เช่น ผู้ดี, นักเรียน, ชาวนา, เครื่องยนต์

ลักษณะของคำประสม
๑. คำประสมที่นำคำมูลที่มีเนื้อความต่างๆ มาประสมกัน แล้วได้ใจความเป็นอีกอย่างหนึ่ง เช่น
“หาง” หมายถึง ส่วนท้ายของสัตว์ กับ “เสือ” หมายถึง สัตว์ชนิดหนึ่ง
รวมกันเป็นคำประสมว่า “หางเสือ” แปลว่า เครื่องถือท้ายเรือ
และคำอื่นๆ เช่น ลูกน้ำ แม่น้ำ แสงอาทิตย์ (งู) เป็นต้น คำเหล่านี้มีความหมายต่างกับคำมูลเดิมทั้งนั้น คำประสมพวกนี้ถึงแม้ว่ามีใจความแปลกออกไปจากคำมูลเดิมก็ดี แต่ก็ต้องอาศัยเค้าความหมายของคำมูลเดิมเป็นหลักเหมือนกัน ถ้าเป็นคำที่ไม่มีเค้าความเนื่องจากคำมูลเลย แต่เผอิญมาแยกออกเป็นคำมูลได้นับว่าเป็นคำประสมจะนับเป็นคำมูล
๒. คำประสมที่เอาคำมูลหลายคำซึ่งทุกๆ คำก็มีเนื้อความคงที่ แต่เมื่อเอามารวมกันเข้าเป็นคำเดียวก็มี
เนื้อความผิดจากรูปเดิมไป ซึ่งถ้าแยกออกเป็นคำๆ แล้วจะไม่ได้ความดังที่ประสมกันอยู่นั้นเลย
๓. คำประสมที่เอาคำมูลมีรูปหรือเนื้อความซ้ำกันมารวมกันเป็นคำเดียว คำเหล่านี้บางทีก็มีเนื้อความคล้ายกับคำมูลเดิม บางทีก็เพี้ยนออกไปบ้างเล็กน้อย และอีกอย่างหนึ่งใช้คำมูลรูปไม่เหมือนกัน แต่เนื้อความอย่างเดียวกัน
รวมกันเข้าเป็นคำประสมซึ่งมีความหมายต่างออกไปโดยมาก
๔. คำประสมที่ย่อออกมาจากใจความมาก คำพวกนี้มีลักษณะคล้ายกับคำสมาสเพราะเป็นคำย่ออย่างเดียวกันรวมทั้งคำอาการนามที่มีคำว่าการหรือความนำหน้า
๕. คำประสมที่มาจากคำสมาสของภาษาบาลีและสันสกฤต เช่น ราชกุมาร (ลูกหลวง)
ข้อสังเกต มีคำหลายคำรวมกันเข้าเป็นกลุ่มหนึ่งๆ แต่ไม่ใช่คำประสมเพราะคำเหล่านี้ต่างก็ประกอบกันได้ความตามรูปเดิม

วิธีสร้างคำประสม คือ นำคำตั้งแต่สองคำขึ้นไป และเป็นคำที่มีความหมายต่างกันมาประสมกันเป็นคำใหม่โดยใช้คำที่มีลักษณะเด่นเป็นคำหลักหรือเป็นฐาน แล้วใช้คำที่มีลักษณะรองมาขยายไว้ข้างหลัง คำที่เกิดขึ้นใหม่มีความหมายใหม่ตามเค้าของคำเดิม (พวกความหมายตรง) แต่บางทีใช้คำที่มีน้ำหนักความหมายเท่า ๆ กันมาประสมกัน ทำให้เกิดความพิสดารขึ้น (พวกความหมายอุปมาอุปไมย) เช่น
          1. พวกความหมายตรง และอุปมา (น้ำหนักคำไม่เท่ากัน)
                    นาม + นาม เช่น โรงรถ เรืออวน ขันหมาก ข้าวหมาก น้ำปลา สวนสัตว์
                    นาม + กริยา เช่น รือแจว บ้านพัก คานหาม กล้วยปิ้ง ยาถ่าย ไข่ทอด
                    นาม + วิเศษณ์ เช่น น้ำหวาน แกงจืด ยาดำ ใจแคบ ปลาเค็ม หมูหวาน
                    กริยา + กริยา เช่น พัดโบก บุกเบิก เรียงพิมพ์ ห่อหมก รวบรวม ร้อยกรอง
                    นาม + บุพบท หรือ สันธาน เช่น วงใน ชั้นบน ของกลาง ละครนอก หัวต่อ เบี้ยล่าง
                    นาม + ลักษณะนาม หรือ สรรพนาม เช่น ลำไพ่ ต้นหน คุณนาย ดวงตา เพื่อนฝูง ลูกเธอ
                    วิเศษณ์ + วิเศษณ์ เช่น หวานเย็น เปรี้ยวหวาน เขียวหวาน

ใช้คำภาษาต่างประเทศประสมกับคำไทย เช่น เหยือกน้ำ เหยือก เป็นคำภาษาอังกฤษ โคถึก ถึก เป็นคำภาษาพม่า แปลว่า หนุ่ม นาปรัง ปรัง เป็นคำภาษาเขมรแปลว่า ฤดูแล้ง เก๋งจีน จีน เป็นภาษาจีน พวงหรีด หรีด เป็นคำภาษาอังกฤษ

          2. พวกความหมายอุปมาอุปไมย
คำประสมพวกนี้มักมีความหมายเป็นสำนวน และมักนำคำอื่นมาประกอบด้วย เช่น หน้าตา ประกอบเป็น หน้าเฉย ตาเฉย นับหน้าถือตา เชิดหน้าชูตา
บางคำประสมกันแล้วหาคำอื่นมาประกอบให้สัมผัสคล้องจองตามวิธีของคนเจ้าบทเจ้ากลอนเพื่อให้ได้คำใหม่เป็นสำนวน เช่น กอดจูบลูบคลำ คู่ผัวตัวเมีย จับมือถือแขนเย็บปักถักร้อย หน้าใหญ่ใจโต ลูกเล็กเด็กแดง
ให้สังเกตว่าที่ยกมานี้คล้ายวลี ทุกคำในกลุ่มนี้มีความหมายแต่พูดให้คล้องจองกันจนเป็นสำนวนติดปาก แต่มีบางคำดังตัวอย่างต่อไปนี้ ที่บางตัวไม่มีความหมายเพียงแต่เสริมเข้าให้คล้องจองเท่านั้น เช่น กำเริบเสิบสาน โกหกพกลม ขี้ปดมดเท็จ รู้จักมักจี่ หลายปีดีดัก ติดสอยห้อยตาม
บางทีซ้ำเสียงตัวหน้าแล้วตามด้วยคำที่มีความหมายใกล้เคียงกัน ทำให้เป็นกลุ่มคำที่เป็นสำนวนขึ้น เช่น ตามมีตามเกิด ตามบุญตามกรรม ขายหน้าขายตา ติดอกติดใจ กินเลือดกินเนื้อ ฝากเนื้อฝากตัว